sweetnefertari

we're gonna wish upon a star... we never wished upon before

Sunday, September 25, 2005


Imagine
John Lennon


Imagine there’s no heaven
It’s easy if you try
No hell below us
Imagine all the people
Living for today…


Imagine there’s no countries
It isn’t hard to do
Nothing to kill or die for
And no religion too
Imagine all the people
Living life in peace…


You may say I’m a dreamer
But I’m not the only one
I hope someday you’ll join us
And the world will be as one


Imagine no possessions
I wonder if you can
No need for greed or hunger
A brotherhood of man
Imagine all the people
Sharing all the world…


You may say I’m a dreamer
But I’m not the only one
I hope someday you’ll join us
And the world will live as one

Friday, September 23, 2005

ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย

จริงๆแล้วช่วงนี้ตั้งใจจะเขียนเรื่อง ”คไทย อย่างละเอียด

อยากจะช่วยย้ำอีกครั้ง ในเรื่องที่นักวิชาการแขนงประวัติศาสตร์ และโบราณคดีหลายท่านพยายามที่จะอธิบาย ถึงคำว่า “ชาติ” กับคำว่า “เชื้อชาติ”

แต่ตอนนี้ ความเศร้ามันเกาะกินใจเกินกว่าที่สมองจะสั่งการใดๆได้

จึงขออธิบายเพียงสั้นๆว่า ชาติ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Nation และเชื้อชาติ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Race โดยทั่วไป การที่เราพูดถึง “คนไทย” นั้นหมายถึง คนไทย ที่อยู่ในประเทศไทย มีวัฒนธรรม มีความสัมพันธ์ในเชิงสังคม หาใช่คนเชื้อชาติไทย ดังที่ อ.ศรีศักร วัลลิโภดม เคยเขียนเอาไว้ว่า การที่เราพูดว่า เราเป็นคนไทย คงไม่มีใครหรอกที่จะบอกว่า ฉันเป็นคนไทย เพราะบรรพบุรุษฉันอพยพลงมาจากเทือกเขาอัลไต แต่เราเรียกตัวเองว่าคนไทยเพราะ เราเกิดบนแผ่นดินนี้ อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ มีวิถีชีวิตร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันต่างหาก

ข้อเท็จจริงอีกอย่าง คือ การศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศต่างๆบนโลกใบนี้ ก็เน้นการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติ หาใช่ประวัติศาสตร์เชื้อชาติไม่!!!

ความเข้าใจผิดนี้คงเริ่มมาจาก การบัญญัติตำราเรียนที่ว่า ชาติไทยมีสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรก มีอยุธยาเป็นแห่งที่ 2 และมีรัตนโกสินทร์เป็นแห่งที่ 3

ขีดเส้นกรอบเอาไว้ แล้วเขี่ยคนอื่นออกไป ก่อนหน้าไม่นับเป็นคนไทย ที่เข้ามาทีหลังก็ไม่ใช่!!??

ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะต้องมีการทบทวนวิธีคิดกันใหม่อย่างจริงจัง…


ขอไว้อาลัยให้นาวิกโยธิน 2 นายที่เสียชีวิตไป ขอแสดงความเสียใจกับญาติของเขา ขอไว้อาลัยให้กับ”ประเทศไทย”ของเรา เชื่อเถอะว่า เราเสียใจกันทุกคน และสุดท้าย ขอให้สันติสุขจงบังเกิด โดยเร็วด้วยเทอด…

Sunday, September 18, 2005

พม่าเอ๋ย...ข้าพเจ้ามาแล้ว ตอนที่ 2

เช้าวันต่อมา เราเดินทางไปหงสาวดี หรือ พะโค ที่ห่างจากย่างกุ้งออกไป 84 กิโลเมตร ด้วยถนนสายตรง เส้นยาว และเก็บค่าผ่านทาง

“วันนี้เราจะไปตีหงสา” ชาวคณะบางคนก็ร้องออกมาอย่างนั้น ด้วยความคะนองปาก ถึงแม้ชาวเชียงตุงอย่างไกด์ท้องถิ่นทั้ง 2 จะเป็นชนกลุ่มน้อย แต่ก็เป็นพื้นที่สีขาว ซึ่งหมายถึง พื้นที่ที่ทางการพม่าสามารถควบคุมสถานการณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชาวเชียงตุงจึงได้รับการดูแลอย่างพอสมควร ในฐานะประชาชนพม่าคนหนึ่ง เช่น ได้รับการศึกษาตามแต่ความสามารถ อย่างมานิตก็จบปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง สาขาชีวะ ส่วนบุญยืน ก็ได้รับการศึกษาถึงปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยเดียวกัน สาขาฟิสิกซ์ (ถ้าจำสาขาไม่ผิดนะ) ความรู้สึกเป็นพวกพร้องของกับชาวพม่าแท้ๆจึงมีมาก

ไม่พอ ยังถามมานิตอีกว่า “ทำไมพม่าต้องเผากรุงศรีฯ ทำไมต้องเผาวัด ทั้งที่ก็เป็นชาวพุทธ” คราวนี้ มานิตสุดทนเลย สวนกลับทันควันว่า “แล้วไทยทำอะไรกับเขมร” สะอึกเลย แต่คนสะอึกน่ะอีชั้น เพราะพวกลูกทัวร์เหล่านี้เค้าคงไม่ได้เรียนหรอกค๊า ว่าเราทำอะไรกับเขมร มีแต่อีชั้นนี่แหละ ที่รู้
จุกเลย - -“

เมื่อวานไปชเวดากองไกด์ก็อึดอัดจะแย่แล้ว วันนี้ไปวังบุเรงนองอีก โอ้ย…

วังบุเรงนอง หรือ พระราชวังบายิงนอง (Ruin Palace of Bayinnaung The Great) สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2109 เป็นสถานที่ที่พระสุพรรณกัลยา พระนเรศวร พระราเมศวร(พระเอกาทศรถ) และพระเทพกษัตริย์ เคยประทับในฐานะที่เข้าใจกันว่าคือ ตัวประกัน
ปัจจุบันเหลือแต่ตอ เพราะถูกมอญยะไข่เผา สมัยนันทบุเรง ก่อนที่สมเด็จพระนเรศวรจะบุกเข้ามา เมื่อปี พ.ศ. 2142 ก่อนที่ทางการพม่าจะบูรณะในส่วนของพระตำหนัก และท้องพระโรง ซึ่งน่าจะเรียกว่า สร้างใหม่มากกว่า โดยอาศัยคำบอกเล่าจากเอกสารเก่า

แน่นอน มีรึที่ชาวคณะจะเชื่อได้ว่าวังนี้ถูกมอญเผา แทนที่จะเป็นสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ลูกทัวร์ยังคงส่งเสียงร้องว่า “วังนี้ไงที่ถูกพระนเรศวรเผา” เอากะเค้าสิ



ภายในบริเวณพระราชวังมีพิพิธภัณฑ์โบราณคดี ภายในบรรจุพระพุทธรูปสมัยอยุธยา ซึ่งในส่วนนี้มานิตไม่อธิบายให้ลูกทัวร์ฟัง คงเพราะไม่อยากได้ยินคำด่าจากลูกทัวร์ไทย มานิตแค่สะกิดขวัญใจไกด์อย่างอีชั้นคนเดียว แล้วถามว่า “ทายสิว่าพระพุทธรูปเป็นศิลปะแบบไหน” แน่แล้ว “อยุธยา” อีชั้นอุทาน ง่า…ดีแล้วที่ไม่ได้บอกลูกทัวร์คนอื่น

...............................ศิลปะแบบไหนเอ่ย


เรามาต่อกันที่ พระธาตุมุเตา หรือ ภาษาถิ่นคือ ชเวมอดอ (Shwemawdaw Pagoda) มีอายุมากกว่า 2 พันปีมาแล้ว องค์พระเจดีย์มีความสูงถึง 114 เมตร แต่น่าเสียดายที่หักโค่นลงมาทางทิศตะวันออก ด้วยสาเหตุแผ่นดินไหว จึงให้จุดนั้นเป็นจุดอธิฐาน แล้วสร้างส่วนยอดขึ้นมาใหม่แทนส่วนที่หัก

......ภาพบน คือ ยอดเจดีย์ที่หักโค่นลงมา, ส่วนภาพล่าง คือ ที่บูรณะแล้ว โดยต่อเติมยอดขึ้นมา


วัดพระนอน หรือ พระพุทธไสยาสน์ชเวทาลยวง (Shwethalyaung Pagoda) สร้างเมื่อ ค.ศ. 994 (พ.ศ. 1537) องค์พระมีความยาว 55 เมตร สูง 16 เมตร โดยพระเจ้ามิคทิปปะ



จากนั้นเราก็เดินทางกลับมาที่ย่างกุ้ง เพื่อมาที่เจดีย์โบตะตอง (Botataung Pagoda) แปลว่า คน 1 พันคนมารับพระเกศาไปไว้ที่ชเวดากอง มีการเชิญประธาตุมาประดิษฐานในผอบทองคำ ถูกทำลายลงในลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ เจดีย์แห่งนี้มีโครงสร้างโปร่ง สามารถเดินข้างในได้


หันหน้าเข้า ทางซ้ายมือจะมีทางเดิน ไปสักการะเทพทันใจ เมื่อขอพรก็เขียนใส่กระดาษไปกับถาดเครื่องสักการะ เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์นัก


ขวามือ มีตึกฝรั่ง ที่อังกฤษสร้างไว้ มีพระพุทธรูปสำริด สร้างโดยพระเจ้ามินดงมหาราช ชื่อ พระนานอู (Nan oo) ซึ่งแปลว่า อยู่หน้าพระราชวัง เนื่องจากเคยเป็นพระที่ประดิษฐานอยู่หน้าพระราชวังมัณฑเลย์ ก่อนที่จะถูกนำไปไว้ที่อังกฤษ 66 ปี จึงได้คืน


จากนั้นเราก็ไปเดินเล่นกันที่ตลาดสก็อต เพื่อเลือกซื้อของฝากก่อนกลับบ้าน ขอแนะนำรองเท้า กับทะนาข่า หรือแป้งพม่านั้นแหละ จริงๆแล้วมันทำมาจากรากไม้ แบ่งขายเป็นท่อนๆ แต่ต้องซื้อแท่นฝนมาด้วย ถ้าจะให้สะดวกเค้าก็มีขายเป็นตลับ ไม่ต้องมานั่งฝนเอง แล้วก็โสล่งพม่า ใส่สบ๊ายสบาย ที่สำคัญ ชายชาวพม่าร้อยละ 60 ไม่ใส่กางเกงใน ค่ะ โอ้ว...


ถึงเวลากลับที่พัก แทนที่เราจะอยู่เฉยๆรึ ไม่มีทาง Where is a whereๆ ไหนๆก็ไหนๆ ขอลองผับพม่าหน่อยเป็นไง ใจจริงอยากไปผับนอกโรงแรมใจจะขาด แต่มานิตอึกอักไม่อยากให้ไป เพราะวันที่ 27 มีนาคม จะเป็นวันชาติพม่า ช่วงนี้ชาตินิยมจะแรงกล้ามาก หากเราออกนอกที่พักยามวิกาล เราอาจโดนทำร้ายได้


ขัดใจจริงๆ แต่ความหวังสุดท้ายคือ พับในโรงแรมนี่แหละ แต่ดูๆแล้วลักษณะมันไม่เหมือนพับ คล้ายคาราโอเกะห้องใหญ่มากกว่า


ไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น เช่นเดียวกับเกือบทุกที่ที่เราไป เนื่องจากพม่าถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติจากปัญหาการเมือง แม้พม่าจะมีนโยบายท่องเที่ยวที่ตั้งชื่อสวยหรูว่า Visit Myanmar Year ในปี พ.ศ. 2539 ช่วงที่เรามี Amazing Thailand นั้นแหละ แต่สงสัยการโปรโมทเค้าจะเป็นความลับ เพราะไม่ค่อยมีใครรู้มากนัก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงเป็นชาวญี่ปุ่น ที่ให้ความช่วยเหลือพม่าและดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาโดยตลอด ในฐานะยักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย และไทย ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง


สาวเสิร์ฟหลายเชื้อชาติเดินกันขวักไขว่ คอยบริการลูกค้า คนที่ฉันเห็นสวยที่สุดมานิตบอกว่าเป็นคนอาระกัน ผิวขาว ตาโต จมูกโด่ง แบบแขกขาว เพราะเป็นชนกลุ่มน้อยที่อยู่ติดกับอินเดีย มาถึงที่แล้วต้องลองเบียร์พม่าสักหน่อย จืดๆแต่กินดี


เที่ยวบินกลับ เราก็ใช้บริการภูเก็ตแอร์ไลน์เช่นเคย เครื่องใหญ่กว่าเดิมหน่อย อาการร่อนมีน้อยลง แต่ที่นั่งก็ยังแคบเหมือนรถตู้ อบอุ่นเหมือนเดิม


คิดถึงพม่า อยากไปอีกจัง คราวหน้าจะไปมัณฑเลย์

Thursday, September 08, 2005

พม่าเอ๋ย...ข้าพเจ้ามาแล้ว ตอนที่ 1

พม่าเอ๋ย...ข้าพเจ้ามาแล้ว ตอนที่ 1

ในที่สุดก็ทนเสียงเรียกร้องจากใจตัวเองไม่ไหว ต้องเขียน ต้องเขียนจนได้ ทั้งที่เวลาในการทำวิทยานิพนธ์ก็ช่างเร่งเร้าเข้ามา จนเร้าร้อน ร้อนรน ทุรนทุรายหัวใจไปหมด

การเดินทางครั้งนี้ เป็นการเดินทางออกนอกประเทศพร้อมกับคุณแม่เป็นครั้งแรก ห่วงเหลือเกินกับความดันของคุณแม่ ว่ามันจะมาดันเอาตอนอยู่พม่ามั๊ยนะ แต่ในที่สุดก็ได้ไปนั้นแหละ ไปกับคณะทัวร์คณะใหญ่ ถึง 80 กว่าชีวิต เดินทางวันที่ 21-23 มีนาคม 48

เราออกเดินทางกันช่วงเช้า ด้วยเครื่องบินจากสายการบินภูเก็ตแอร์ไลน์ ด้วยเครื่องบินลำเล็ก แต่ที่นั่งเพียบ เบียดยังกับนั่งรถตู้ แถมบินเอียงไปเอียงมาเพราะความเล็กร่อนของมัน ยังดีที่ขนมอร่อย ทำให้ลืมความเสียวได้เล็กน้อย ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็ถึงย่างกุ้งอย่างปลอดภัย

เราเดินทางจากสนามบิน ไปโรงแรมที่พักด้วยรถบัส พักโรงแรมNikko เจ้าของเป็นญี่ปุ่น อยู่ใกล้ทะเลสาบด้วย แต่น่าเสียดายที่มองจากหน้าต่างห้องของหญิงเนอเฟอร์ฯ(อีชั้นเอง)ไม่เห็น

เก็บข้าวเก็บของเรียบร้อยแล้ว คณะทัวร์ก็พาเราไปกินข้าวที่ภัตราคารอาหารไทย ที่เชื่อได้ว่าไม่ใช่คนไทยเป็นเจ้าของ เพราะรสชาติไม่ใช่เอาซะเลย แค่คล้ายมากกว่า

อิ่มแล้วคณะทัวร์แนะนำให้เรารู้จักกับไกด์ท้องถิ่นประจำรถ คันของหญิงเนอเฟอร์ฯชื่อ มานิต เป็นชาวเชียงตุง เช่นเดียวกับ Mr.Boon ไกด์ท้องถิ่นประจำรถอีกคัน ที่ลูกทัวร์ตั้งชื่อให้เค้าว่า บุญยืน ไกด์ไทยแนะนำให้เราปฏิบัติ 3 ข้อ คือ 1. ไม่คุยเรื่องการเมือง 2. ลืมความสะดวกสบายที่เมืองไทยไปให้หมด และ 3 จำบ่ได้เด้อ

สถานที่แรกที่คณะทัวร์พาเราไปคือ เจดีย์กลางน้ำ เรียกเป็นภาษาถิ่นว่า ยีเลพะยา เมืองสิเรียม ฟังอยู่นานกว่าจะเข้าใจ เพราะมานิต บอกว่า เมืองสี่เหลี่ยม? เป็นศิลปะมอญดั้งเดิม มีเจดีย์แยยูค ที่ชาวพม่านับถือ มีพระประทานคือ งาซาตพะยา เป็นศิลปะพม่า ทรงเครื่องด้วยทองคำแท้ มานิตบอกว่า ศิลปะพุกามกับศิลปะพม่าต่างกันที่ ศิลปะพม่าจะมีลวดลายมากกว่า โดยเฉพาะลายกนก

วัดทุกวัดที่นี่ ต้องถอดรองเท้า รวมทั้งถุงเท้าด้วย แนะนำว่าควรใส่รองเท้าแตะไป ถ้าไม่อยากวางไว้ก็เอาใส่กระเป๋าได้ แต่ส่วนใหญ่เค้าเอาไว้ในรถกันค่ะ หรือจะฝากไว้ข้างหน้าก็ได้ เค้ามีที่รับฝาก บริจาคตามศรัทธา

จากนั้น เรามาเริ่มต้นกันที่ย่างกุ้งอีกครั้ง ที่ พระธาตุเขี้ยวแก้ว วัดพระเขี้ยวแก้วจุฬามณี สวยงามมากจนครั้งแรกที่เข้าไป ยังทำเอาขนลุก และคิดเอาเองว่า “ของจริง พระเขี้ยวแก้วองค์นี้ต้องเป็นของจริงอย่างแน่นอน องค์อื่นอาจจะโม้ แต่องค์นี้ไม่โม้แน่ๆ ชัวร์” ที่ไหนได้ มานิตบอกว่า เป็นองค์จำลองซะนี่!! เสียselfไปพักนึง ก็แหม…มั่นใจซะขนาดนั้น




....................................... นี่ไงพระธาตุเขี้ยวแก้ว สวยมั๊ยค่ะ

พระหินขาว (Lawka Chantha Abaya Lamuni Buddha) ชื่อก็บอกว่า เป็นหินขาว เดิมหนัก 600 ตัน ก่อนที่จะสลักเสลาจนเหลือ 500 ตัน แต่ก็ยังนับว่าใหญ่อยู่มาก สูง 37 ฟุต กว้าง 24 ฟุต พระหัตถ์ขวาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่นำมาจากสิงคโปร์และศรีลังกา คล้ายปางมารวิชัย ต่างกันแค่แบมือออก หมายถึง การขับไล่ศัตรู และประทานความเจริญ และนำหินที่เหลือมาสลักเป็นพระบาทซ้ายขวา แล้วนำมาวางไว้หลังพระพุทธรูป น่าเสียดายที่เค้าทำห้องกระจกล้อมองค์พระไว้ ถ่ายรูปไม่ชัดเลย

มหาเจดีย์ชเวดากอง (Shwedagon Pagoda) บรรจุด้วยพระเกศาพระพุทธเจ้า จำนวน 8 เส้น ประวัติคือ พ่อค้า 2 พี่น้องเดินทางไปค้าขายที่อินเดีย สมัยพุทธกาล เป็นผู้อันเชิญมา!!??

สงสัยมั๊ยค่ะ อีชั้นสงสัยมากกก…กก สมัยพุทธกาล หมายถึง 2548 กว่าปีที่แล้วนะรึ ฟังแล้วขัดใจมักๆค่ะ ก็สมัยนั้นน่ะ ศาสนาพุทธยังไม่เข้ามาดินแดนสุวรรณภูมิเล๊ย…เจ้าค่าเอ้ย กว่าพุทธศาสนาจะเข้ามานะคะ ก็สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชนู่น อีกหลายร้อยปีต่อมาเชียว อย่างนี้ก็เท่ากับว่าเป็นผม 8 เส้นนั้น เป็นของใครก็ไม่รู้ ผู้คนในดินแถบนี้ยังไม่รู้จักหรอกค่ะ แล้วจะเอามาบรรจุใส่เจดีย์ทำไมละค๊า แต่ไม่กล้าถามไกด์อะค่ะ กลัวโดนตืบ - - “

หากใครรู้ช่วยอธิบายด้วยเถอะ จะเป็นพระคุณอย่างสูงลิ่วเลย

....................................................กำลังบูรณะ

เอ้า…มาว่ากันเรื่องเจดีย์ต่อ พระมหาเจดีย์องค์นี้ประดิษฐานบนเนินดินชื่อ Singuttara มีลานรูปสี่เหลี่ยม และเป็นเนินดินที่สูงที่สุดในเขตปริมณฑลย่างกุ้ง มีความสูงถึง 109 เมตร และยาวโดยรอบประมาณ 473 เมตร รอบๆมีเจดีย์เล็กๆอีกนับร้อยองค์ มีซุ้มประตูสี่ด้าน ที่บนยอดฉัตรของพระมหาเจดีย์ประกอบด้วยเพชรพลอยมากมาย คาดว่าสร้างเมื่อราวต้นพุทธศตวรรษ

หญิงเนอเฟอร์ฯได้เดินเวียนเทียนกะเค้าด้วย ตามเจตนารมย์ของคณะทัวร์ ที่ต้องการให้มาสักการะพระมหาเจดีย์เมื่อเวลาเย็น ให้เราสามารถเวียนเทียนกันได้อย่างไม่ลำบากมากนัก เหนื่อยเอาการ เดินเกินอีกต่างหาก เพราะหาแม่ไม่เจอ เดินวนๆมันอยู่อย่างนั้น แถมลื่นโชว์พม่าอีก ก็ที่นั้นน่ะ เค้าจะเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนพม่าได้ทำการถูพื้น วิธีการคือ เค้าจะเอาน้ำมาพรมๆ แล้วก็ให้ชาวพม่าเรียงหน้ากระดานกันถูกอย่างเป็นระเบียบ เวียนเทียน 3 รอบ ก็ลื่นมันทั้ง 3 รอบ แต่คุณพระยังช่วย อีชั้นทรงตัวอยู่ทุกรอบเจ้าค่ะ ^_^

วันนี้ ตลอดทั้งวันสงสารมานิตเหลือใจ ก็ลูกทัวร์ปากเปราะบางคน ไปที่ไหนก็ว่า “ทองของเรา ไหว้ทองของเราทำไม” ได้ฟังแล้วถึงกับต้องไปคุยกับมานิตเป็นการส่วนตัวเลยว่า “อย่าไปโกรธพวกเค้าเลยนะ ลูกทัวร์เหล่านี้เป็นคนรุ่นเก่า พวกเค้าไม่รู้ ไม่เค้าใจ แต่คนรุ่นใหม่ๆที่มีการศึกษาที่ดีพอต่างก็เข้าใจมากแล้วนะ ว่ามันเป็นเรื่องระหว่างหงสาวดี กับอยุธยา ไม่ใช่ประเทศพม่ากับประเทศไทย และมันก็เป็นความชอบธรรมในอดีต ที่จะใช้ทัศนะแบบปัจจุบันไปตัดสินไม่ได้” โชคดีที่มานิตเข้าใจ

ตกเย็นเรามากินข้าวแบบbuffetกันที่ ภัตราคารการะเวก (Karaweik Hall) ภัตราคารกลางน้ำที่ย่างกุ้ง อาหารอร่อย แถมการแสดงนาฏลีลาแบบพม่า ตอนแรกนึกว่าระบำโยเดีย แต่ไกด์ไทยบอกว่า เป็นการร่ายรำที่เรียนแบบท่าทางของหุ่นกระบอก แหม อยากเห็นระบำของจริงจังเลย แต่ถึงเห็นก็แยกไม่ออกอยู่ดี มีโขนพม่าด้วย เสนอตอนทศกัณฑ์ฉุดนางสีดา แปลกตาดี


สถานที่นี้ เคยให้เป็นที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองมาแล้วด้วยนะ เรียกว่าชาวพม่าเค้าภูมิใจนำเสนอกันเลยที่เดียว


อะ อะ นี้แค่วันแรก แต่เอาไว้ต่อตอนที่ 2 คราวหน้านะคะ วันนี้หมดแรงโหลดรูปแล้วค่ะ นานเหลือเกิน

โปรดติดตาม