sweetnefertari

we're gonna wish upon a star... we never wished upon before

Wednesday, May 24, 2006

ศิวนาฏราช


ท่าร่ายรำ 108 ท่า ของพระศิวะ (พระอิศวร)

หากทรงร่ายรำในจังหวะที่พอดี โลกจะสงบสุข

หากแม้ทรงร่ายรำในจังหวะดุดันรุนแรง โลกก็จะถึงแก่กลียุค

พระองค์จึงเป็นได้ทั้ง ผู้สร้าง และผู้ทำลาย ในองค์เดียว



พระมหาราชครูวามเทพมุนี อธิบายเกี่ยวกับการร่ายรำของพระศิวะว่า จะกระทำเมื่อปราบอสูร และเมื่อสอนวิชาปราบอสูร ดังนั้น จึงถือว่าพระศิวะเป็น "ครูแห่งการร่ายรำ" ด้วย

...

ตามคัมภีร์ของฝ่ายไศวะเล่าว่า ครั้งหนึ่งพระศิวะทรงแปลงเป็นโยคีหนุ่ม พระนารายณ์ทรงแปลงเป็นภรรยาสาว เพื่อปราบบรรดาฤาษีที่มักมากในกาม

พวกฤาษีเสกเสือมาสู้ พระศิวะก็ทรงปรากฏตนในร่างองค์พระศิวะ ถลกหนังเสือมาทำฉลองพระองค์ เห็นดังนั้น พวกฤาษีจึงเสกพญานาคมาพ่นพิษใส่ พระศิวะก็จับพระยานาคฟาดพื้น แล้วเอามาทำเป็นสร้อยสังวาล สุดท้ายพวกฤาษีจึงเรียก "อสูรค่อมยะละคะ" ออกมาสู้ แต่ก็ถูกพระศิวะจับทุ่ม แล้วเหยียบๆๆๆจนหลังหัก ซ้ำยังยืนร่ายรำบนหลังเจ้าอสูรเสียอีกด้วย พวกฤาษีสู้ไม่ได้ จึงต้องขอขมา

พระพรหม ทูลขอให้พระศิวะทรงร่ายรำอีกครั้ง พร้อมบัญชาให้พระภรตมุนี (ฤาษีที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นครูแห่งนาฏศิลป์ และได้รับการนำมาทำเป็นหัวโขนที่ใช้ประกอบพิธีครอบครู) บันทึกการร่ายรำทั้ง 108 ท่าไว้ เป็นตำรานาฏยศาสตร์สืบไป
...

ศิวนาฏราช นิยมนำมาสลักเสลาไว้หลายแห่งทีเดียว เช่นที่ หน้าบันเหนือประตูทางเข้าปราสาทบันทายสรี ที่เข้าพระวิหาร ที่ปราสาทหินพิมาย

แต่ที่ได้รับการยกย่องว่างามที่สุด คือ ที่หน้าบันเหนือประตูทางเข้าปรางค์ประธานปราสาทพนมรุ้ง เหนือทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ โดยปรกติแล้ว พระนารายณ์จะทรงบรรทมหลับประทับอยู่เหนือวงขนดของพญาอนันตนาคราช ซึ่งแผ่พังพานถึงพันเศียร ลอยอยู่ในทะเลน้ำนม หรือที่เรียกว่า “เกษียรสมุทร”

ครั้งหนึ่งเมื่อยังเล็ก พ่อเคยพาไปเที่ยวชมปราสาทพนมรุ้ง จำได้ว่า มีแต่ช่องโหว่ๆป้ายแปะเอาไว้ว่า "ทับหลังนารายณ์" งงนัก???

ไม่กี่ปีต่อมา คือเมื่อ พ.ศ.2531 จากการเรียกร้องทางฝั่งไทยและมิตรรักชาวโลกที่เป็นผล ทำให้เราได้ทับหลังคืน

ใครจำเหตุการณ์คราวนั้นไม่ได้ หรือเกิดไม่ทัน ก็น่าจะพอคุ้นกับเพลงน้าแอ๊ดกันบ้าง น้าแกว่างี้ "เอาไมเคิล แจ๊คสัน คืนป๊าย...เอาพระนารายณ์คืนมา"

แน่นอนว่า โบราณวัตถุอันมีค่ายิ่งของไทยอีกหลายชิ้น ยังคงอยู่ในการดูแลของพิพิธภัณฑ์ต่างชาติ และเราคงจะไม่โชคดีได้คืนบ่อยนัก ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือ "รักษาสิ่งที่มี"

คำพูดง่ายๆ แต่ทำยาก เพราะปัญหาปากท้อง ทำให้คนบางประเภทเห็นสมบัติชาติ เป็นของตกอยู่ตามพื้น ใครเจอก่อนถือเป็นของตัว

จากประสบการณ์ตรง ลุงคนหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่ยิ่งใหญ่ ที่แม้แต่ตัวลุงเองก็คาดไม่ถึง นั่นคือ การรับจ้างจากกรมศิลป์ให้ขุดแหล่งโบราณวัตถุ วังโบราณกรุงศรีอยุธยา ลุงพูดว่า "เมื่อวันก่อนลูกสะใภ้ขุดเจอพระเครื่อง 4 องค์ โชคดีจริง ขายไปองค์ละ 6000" (ถ้าจำไม่ผิด)

โกรธ....มาก

เลยเอ็ดลุงไปว่า "ลุงไม่รู้รึว่าผิดกฎหมาย" จนรุ่นพี่ต้องดึงออกมาก่อนที่จะเจอจอบลุง

...

พูดแล้วของขึ้น จากเรื่องศิวนาฏราช มาเรื่องสมบัติชาติได้ไงไม่รู้นิ เดียวจะไปกันใหญ่ จบก่อนดีกว่า

~จบ~

Friday, May 12, 2006

ว่าด้วยเรื่องนางอัปสร


คำว่า “อัปสร” หรือ “อัปสรา”

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงแปลตามตัวอักษรว่า “ผู้กระดิกในน้ำ”

แปลเป็นไทยแล้วอาจขำ แต่แท้จริงแล้ว ชื่อนี้สื่อได้ดีและชัดเจน จากคติฮินดู เมื่อพระวิษณุเป็นประธานในพิธีกวนเกษียรสมุทร หรือ ทะเลน้ำนมนี้ ใช้ภูเขามันทร หรือเขาพระสุเมรุแทนไม้กวน ใช้พระยานาควาสุกรีแทนเชือก อสูรจับหัว เทวดาจับหาง ปั่นไปปั่นมาจนได้อมฤตมาหล่อเลี้ยงโลกให้อุดมสมบูรณ์

ทั้งนี้ อาจพบว่าประธานในการกวนอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ ตามความเชื่อของแต่ละนิกาย เช่น นิกายไศวะ ประธานในการกวนจะกลายเป็นพระศิวะหรือพระอิศวร แต่ถ้าเป็นทางพุทธ ประธานจะเป็นพระอินทร์ เป็นต้น

จวบจนเวลาเนิ่นนานผ่านไป 1,000 ปี ได้ของทั้งดีและไม่ดีมา 10 อย่าง หนึ่งในนั้น คือ นางอัปสร ซึ่งแต่ละนางนั้น ล้วนเป็นหญิงรูปงาม ประดับประดาด้วยเครื่องประดับวิจิตรา ทว่า กลับไม่มีเทวดาหรืออสูรตนใดรับไปเป็นคู่ครองเลย เหล่านางอัปสรจึงตกเป็น “ของกลาง”


ได้นามว่า “สุรางคนา” แปลว่า
เมียเทวดาทั่วๆไป
หรืออีกนามว่า “สุมทาตมชา” แปลว่า
สตรีผู้เต็มไปด้วยความมัวเมา

อย่างไรก็ตาม นางอัปสรก็เป็น “เทพแห่งความดีงาม” ในใจชาวเขมรเรื่อยมา

ชาวเขมรจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า ผู้ใดที่ปรารถนาจะมีลูก ก็ให้ไปอธิษฐานเอาจากนางอัปสร เน้นว่าต้องเป็นที่นครวัด การอธิษฐานก็ไม่ยากครับ แค่ลูบๆคลำที่หน้าอกนางอัปสรสักองค์เป็นใช้ได้

ดูจากภาพแล้ว เชื่อได้ว่าชาวเขมรคงอยากจะมีลูกกันมากเลยทีเดียว แหม่...จับซะมันเชียว